BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Hwang Mi Hee สุดเลิฟ

Hwang Mi Hee (ฮวัง มิ ฮี)

"ฮวังมิฮี" ก้าวสู่เส้นทางการเป็นนางแบบและพริตตี้ตามงานต่างๆ แต่ที่ทำให้เธอโดดเด่นโชว์ความเซ็กซี่ดีสุดๆ และสามารถแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ คือ งาน Seoul Motor Show in 2007 ที่แม้ว่าครั้งนั้นเธอจะคว้าผลโหวต 11th MissDica's Top 40 Race Queens in Korea ได้เพียงอันดับ 2 แต่ชื่อของเธอกลับเป็นที่ชื่นชอบ และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากหนุ่มๆ ทั่วเอเชีย

วันเกิด : 21 มกราคม 1982

เกิดที่ : กรุงโซล ประเทศเกาหลี
ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร น้ำหนัก : 51 กิโลกรัม
เลือดกรุ๊ป : O
สิ่งที่ชอบ : ชอบฟังเพลงและอ่านหนังสือ

เว็บไซต์แฟนคลับ : http://hwangmiheeclub.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สาเหตุที่นาซีแพ้สงครามโลก!!!

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ใคร ๆ ก็อยากขับ Peugeot

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

11 เหตุการณ์ ที่ทำให้เชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง

เหตุการณ์ที่1 เครื่องบินสีทอง


จากจำนวนวัตถุลึกลับเกี่ยวกับจานบิน ชิ้นนี้ดังที่สุด ซึ่งถูกพบในโคลัมเบีย อเมริกาใต้ มีอายุมากกว่า 1000 ปี มีลักษณะเหมือนเครื่องบินเจ็ทปีกเป็นรูปสามเหลี่ยมของยุคปัจจุบัน มีที่นั่งนักบินอยู่ตรงส่วนหัวและมีหางเหมือนเครื่องบินปัจจุบันด้วย ซึงแน่นอนชาวพื้นเมืองในโคลัมเบียคงไม่สามารถสร้างเครื่องบินนี้แน่ โดยเฉพาะเมื่อ 1000 ปีก่อน

อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาวได้เดินทางมาถึงอเมริกาใต้ ในยานอวกาศใต้ ในยานอวกาศที่มีรูปร่างเหมือนเครื่องบินเจ็ทตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีมาแล้ว และคงสร้างยานลำนี้ไว้เป็นที่ระลึก

เหตุการณ์ที่2 เด็กเขียว
ในเดือนสิงหาคม 1887 ในสเปน มีเด็กสองคน ซึ่งมีผัวหนังสีเขียวเป็นมันวาว และมีดวงตารีเฉียง เดินอาจากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กสองคนนั้นสวมเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุประหลาด และพูดภาษาประหลาดที่ผู้วชาญภาษาจากบาร์เซโลนาไม่เข้าใจ และไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภาษาอะไร เด็กชายที่เป็นผู้ชายตายก่อน ส่วนเด็กผู้หญิงยังอยู่ต่อมาและหัดพูดภาษาสเปนได้จนคล่องเธอเล่าว่าเธอถูกนำ มาจากดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งมีแต่ยามสนธยามีพระอาทิตย์ขึ้น และถูกหอบมาทิ้งไว้ที่ถ้ำนั่น

ดินแดนที่ว่านั้น เป็นดินแดนของดาวอีกดวงหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าพวกเธอถูกส่งตัวมายังโลกด้วย ยาวอว
กาศหรือเปล่า หรืออาจมาจากมิติที่สี่ก็เป็นได้

เหตุการณ์ที่ 3 การระเบิดที่ไซบีเรีย

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1908 มีการระเบิดอย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่ไซบีเรีย เป็นแรงระเบิดที่รุนแรงกว่าฮิโรชิม่าถึง 10 เท่าดังไปค่อนโลก มีบางคนบอกว่า ตนเองได้เห็นแสงไฟและเห็นควันรูปเห็ด อย่างไรก็ตามผลสุดท้ายสาเหตุการระเบิด ไม่มีใครทราบแน่ชัด

ในปี 1927 นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียต ได้ออกทำการสำรวจและพบบริเวณที่เกิดการระเบิดนั้น ซึ่งกินบริเวณกว้างขวางถึง 800 ตารางไมค์ จากการลงความเห็นของผู้วชาญ แรงระเบิดนั้น ไม่ใช้เพราะอุกาบาตร
แน่ มีบางคนบอกว่ามันอาจเป็นดาวหาง อาจเป็นเสี่ยวหนึ่งของหลุมดำ หรืออาจเป็นแสงเลเซอร์จากดวงดาวอื่นก็ได้

อเล็กซานเดอร์ คาซานท์เซฟ วิศวกรด้านอาวุธของรัสเซียลงความเห็นว่า มันเป็นพวกยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งขณะบินทำการสำรวจโลก ตกลงมา และเกิดระเบิดขึ้น

เหตุการณ์ที่ 4 สัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาว

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 นักดาราศาสตร์โครงการ ซีคลอปส์ (Cyclops) ได้รับสัญญาณที่ซับซ้อนกว่าเสียงสะท้อนใดๆ ในโลกนี้ มันเป็นโทนเสียงขึ้นๆ ลงๆ ผสมผสานกันอย่างซับซ้อน พร้อมโครงสร้างจังหวะ รวมไปถึงเสียงที่ไม่เคยมีมนุษย์ได้ยินมาก่อนรวมอยู่ด้สน ซึ่งสัญญาณนี้ระบุว่ามาจากดาวออฟิยูซิ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกราว 17 ปีแสง ทำให้เชื่อกันว่าเป็นสัญญาณวิทยุจากมนุษย์ต่างดาวซึ่งมีอารยธรรมสูงกว่าเรา


เหตุการณ์ที่ 5 เมื่อมนุษย์ต่างดาวเป็นฆาตกร


วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2491 รัฐเคนตักกี้ อเมริกา เรืออากาศเอก โธมัส แมนเทลล์ จูเนียร์ ได้ขับเครื่องบินซี 118 แถวน่านฟ้าของเมืองแมรีส์วิลล์ เพื่อไปตรวจสอบการพบเห็น UFO ส่องแสงขนาดใหญ่ และเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และเงียบเชียบข้ามท้องฟ้า ซึ่งทางฐานทัพก็จับสัญญามันได้เช่นกัน

แมนเทลล์ขับแล้วไปเจอ UFO ลำนั้นทันที เขารายงานวัตถุนั้นต่อศูนย์เป็นระยะในการติดตาม “พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์ มันอยู่เหนือผมพอดี และมันใหญ่โตมโหฬารมาก มันดูเหมือนโลกหะรูปกลมใหญ่มาก ผมกำลังพยายามไปให้ถึงมัน มันกำลังบินสูง มันเริ่มบินสูง.... พระเจ้า! มันน่ามหัศจรรย์มาก! มันเริ่มร้อน มันร้อน ร้อนมากทีเดียว ผมทำไม่...”จากนั้นสัญญาณก็ถูก
ตัด

เวลาต่อมา มีการพบซากเครื่องบนและศพของเรืออากาศเอกแมนเทลล์ มีรายงานว่าซากเครื่องบินมีรูและรอยขีดข่วงจากความร้อนสูง เหมือนกับว่าเครื่องบินถูกทำลายจากรังสีบางอย่าง

ปัจจุบันการตายของแมนเทลล์ยังเป็นปริศนาต่อไป ว่าสิ่งที่เขาพบนั้นคือ UFO จริงหรือไม่?

เหตุการณ์ที่ 6 แอเรีย 51 (Area 51)

พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในกลางทะเลทรายทางตอน ใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เนวาด้า และอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ปี 1958 เป็นพื้นที่ที่ลึกลับที่สุดเพราะเป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนนอกเข้าและมีการ รักษาความปลอดภัยสูงสุด แม้ทางการสหรัฐจะบอกว่าพื้นที่นี้เป็นเพียงสถานที่ทดสอบอาวุธหรือเครื่องบิน รบใหม่ของสหรัฐ แต่มีหลายคนบอกว่าอาจเป็นฐานทัพของมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ก็สถานที่ติดต่อกับ มนุษย์ต่างดาว นั่นก็อาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมาก อ้างว่าได้เห็นวัตถุบินลึกลับหรือ UFO (Unidentified Flying Object) บินอยู่เหนือบริเวณนั้นบ่อยครั้ง จนหลายคนสงสัยว่าบริเวณพื้นที่ 51 นั้นต้องมีอะไรมากกว่าสถานที่ซ้อมรบเครื่องบินรบ แน่นอน

เหตุการณ์ที่ 7 จานบินตกที่รอสเวลล์


ในปี ค.ศ.1948 เมืองรอสเวลล์ เกิดเหตุการณ์วัตถุบินลึกลับตกในพื้นที่ทะเลทรายของชาวเมืองนาม แม็ค บราเซิล วัตถุชิ้นตกตกและชิ้นส่วนตกกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง ไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการก็มาถึงและเก็บวัตถุในพื้นที่ที่เกิด เหตุจนหมด ซึ่งผลจากการตรวจสอบตอนแรกบอกว่าวัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นวัตถุที่ไม่เคยมี อยู่ในโลก และแต่ละชิ้นโลหะมีคุณสมบัติแปลกประหลาด แต่ถึงอย่างไรเพราะอะไรไม่ทราบสาเหตุภายหลังทางการดันกลับคำให้การบอกว่า วัตถุที่ตกลงมาเมืองรอสเวลล์นั้นคือหรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ?

ทำไมต้องกลับคำผลการตรวจสอบ?? แล้ววัตถุบินลึกลับนั้นเป็นจานบินหรือไม่? ไม่มีใครทราบได้ แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่หลายๆ ฝ่ายยังหวังว่าทางการสหรัฐจะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

เหตุการณ์ที่ 8 การลักพาตัวเบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ (betty and Barney Hill)

นี้คือการลักพาตัวที่โด่งดังที่สุดและเป็นครั้งแรกที่มนุษย์ต่างดาวลักพาตัวคนในโลก

19 กันยายน 1961 ขณะที่เบตตี้และบาร์นีย์ ฮิลลส์ สองสามีภรรยาขับรถผ่านแดนทะเลทรายของรั
ฐนิวแฮมเชียร์ จู่ๆ ก็มีจานบินแล่นขวางหน้า และบังคับให้สองสามีภรรยาคู่นี้หยุดรถ

สิ่งมีชีวิตในยานนั้นมีอยู่ 5 คน(ตัว) สูง 5 ฟุต ตาโต ไม่มีจมูก และผิวหนังสีเทา เมื่อคนพวกนี้มาใกล้ สองสามีภรรยาก็รู้สึกเหมือ
นสะกดจิต ทั้งคู่ถูกนำตัวเข้าไปในยานและถูกตรวจสอบทางกายภาพ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นสอบถามสองสามีภรรยาโดยใช้พลังจิต แต่เมื่อเขาพูดกันเองก็พูดด้วยภาษาแปลกประหลาด

จากนั้นสองสามีก็ถูกลบความทรงจำ และถูกปล่อยตัวออกมา ซึ่งภายหลังสองสามีภรรยาคู่นี้ถูกสะกดจิต ทั้งคู่ก็เล่าเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด จนเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมาก จนต้องออกโทรทัศน์รายการพิเศษในปี 1975

เหตุการณ์ที่ 9 การชำแหละวัวในท้องทุ่ง (Cattle Mutilations)


9 มิถุนายน 2005 ได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดวัวตายอย่างลึกลับจำนวนมากในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและบราซิลและแถบอื่นๆ ทั่วโลก

โดยการตายลึกลับนี้แทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะสามารถทำได้ เพราะแต่ละพื้นที่วัวถูกฆ่าจำนวนมากโดยทั้งหมดนั้นลงมือเสร็จเพียงคืนเดียว โดย ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ ด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้แต่ไม่ใช้เลเซอร์หรือมีด และไม่มีเลือดไหลออกมาอวัยวะบางส่วนเช่น อวัยวะเพศ ลูกตาและเต้าน
มโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าใน บริเวณที่มันตาย

มีการศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า แต่ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

เหตุการณ์ที่ 10 วงกลมประหลาดบนทุ่งหญ้า (Crop Circles)ในช่วงปี 1980 เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือประจักษ์ต่อชาวโลก ใน 29 ประเทศ ทั่วโลก คือเกิดวงกลมประหลาด หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่งข้าวสาลี ข้าวบาเล่ห์ ข้าว และอื่นๆ

โดยจากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง

พบว่าในช่วงปลายปี 1980 นั้น Crop Circles ส่วนใหญ่รูปแบบจะออกมาในลักษณะเส้นตรงซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี 1990 รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์จะทำได้ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วหาเป็นมนุษย์ต่างดาวจริง พวกเขาจะทำทำไม มันเป็นสัญญาบอกชาวโลกหรือ หรือว่าเป็นที่จอดยานบิน หรือว่าเป็นการเล่นสนุก??


เหตุการณ์ที่ 11 เทปวีดีโอผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว


ในปี 1992 ผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลี อ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็นฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาวหลังเหตุการณ์การตก ที่รอสเวลส์โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูกมอบหมายให้ ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาวที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์

จนกระทั่งในปี 1995 ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจาก นั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน , ฮอลล์แลนด์ , บราซิล และอิตาลี












วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันสิ้นโลก....Doomsday 2012 ++

เราคงเคยได้ยินคำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกกันใช่ป่ะ อืมก็มีหลายคำพยากร แต่ก็มีคำพยากรจากโลกอดีตในช่วงเวลายาวนานมาแล้วแต่ก็สามารถกล่าวได้ว่าใกล้ เคียงกับเหตุการณ์จริงจริงหรือปรากฎการณ์ที่โลกกำลังเผชิญ ชนเผ่าที่มำนายนี้ก็คือชนเผ่ามายันซึ่งก็ได้พยากรณ์เรื่องของ "วันครบอายุขัยของโลก" เอาไว้อย่างใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้อย่างมากนักโบราณคดีได้ค้น พบอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของชาว มายัน ซึ่งมีอยู่ในแถบทั่วไปของอเมริกากลาง มีการค้นพบสิ่งก่อสร้างโบราณที่ลักษณะคล้ายอาคารวงกลมคล้ายกับหอดูดาวของโลก ปัจจุบัน จึงสันนิษฐานว่า มายันน่าจะใช้สถานที่นี้เป็นการสังเกตวงโคจรของดาวต่างๆบนท้องฟ้าซึ่งจาก ปฏิทินของชาวมายันนี้เองทำให้นัดดาราศาสตร์ ทึ่งในความสามารถของชาวมายัน ในการกำหนดรอบวงโคจรของดาวต่างไท้งนอกและในระบบสุริยะได้อย่างแม่นยำ และสามารถคำนวนได้ละเอียดมากซึ่งปฏิทินของชาวมายันนี้ก็ยังสามารถนำมาอ้าง อิงได้ในโลกปัจจุบัน

นอก จากนี้แล้ว ความเชื่อแต่โบรานของชาว มายัน หลายเรื่องก็ยังค่อนข้างจะเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตรืสมัยใหม่ โดยเฉพาะอยางยิ่ง แล้วในด้านคณิตศาสตร์ ที่พบว่าวิธีการคำนวนเลขของชาวมายัน นั้นละเอียดแม่นยำกว่าระบบใดใดที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสมัยนั้นอีก แม้แต่ระบบตัววเลขของโรมันที่เป็นที่ยอมรัยก็ยังไม่ละเอียดเท่า

ปฏิทินของชาวมายันจะใช้วิธีคิดคำนวนด้วยกันหลายวิธี แต่จะมีที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงมากที่สุด คือ ปฏิทินที่เรียกว่า Long Count ชาวมายัน นับเวลาเดิน 1 คิน (วัน) โดยคำนวนจากช่วงเวลาดวงอาทิตย์ขึ้นและตกเหมือนปกติแต่วิธีกำหนดวัน เดือน ปี จะต่างไปจากปฏิทินสากลที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ คือ กำหนดให้จำนวน 20 คิน(วัน) เป็น 1 อุยนาล (เดือน) 18 อุยนาล เป็น 1 ตุน (ปี) 20 ตุนเป็น 1 คาตุน 20 คาตุน เป็น 1 บาคตุน และ 13 บาคตุน ก็จะเป็นรอบ 1 "ยุคสมัย" (ปฏิทินมายันนี้ก็คำนวนเวลาใน 1 ปีได้เท่ากับโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบเหมือนกัน แต่ 1 ปั ของชาวมายัน จะมี 360 วัน ซึ่งเป้นค่าเฉลี่ยระหว่างปฏิทินสากลหรือแบบสุริยคติ(365) กับแบบ จันทรคติ (354)ที่ นับตามวงโคจรของดวงจันทร์ที่คนโบรานนิยมใช้) นอกจากกำหนดหน่วยเป็นปีแล้วยังกำหนดหน่วยที่มากกว่าปีเอาไว้ด้วย แล้วที่สำคัญสามารถกำหนดหน่อยเป็นยุคสมัยอีกด้วยซึ่ง 1 รอบยุคสมัยนั้นจะมี 13 บาคตุน คิดเป้นวันก็จะเท่ากับ 1,872,000 วันหรือประมาน 5,000 ปีตามปฏิทินสากลเท่ากับทุกๆ 5000 ปีชาวมายันจะผลัดเปลี่ยนยุคสมัยกันครั้งนึง

เกริ่นมานานก็เข้าประเด็นตรงคำว่ายุคสมัย ที่เป็นประเด็นถกเถียงกัน นักโบรานคดีเคยมีความเข้าใจว่า 1 รอบยุคสมัย ก็น่าจะคล้ายกับการครบ 1 ศตวรรษ หรือ 1 สหัสวรรษ อย่างเช่นปฏิทินสากลใช้อย่างปัจจุบัน แต่จากการวิเคราะห์ต่อมาได้วิเคราะห์จากความเชื่อของชาวมายัน เรื่องหนึ่งในบันทึกโบรานที่กล่าวว่า "เมื่อครบ 1 รอบยุคสมัยแล้วเทพเจ้าจะเสด็จลงมา" จึงได้มีการเปลี่ยนทิศทางในการศึกษกนใหม่ว่ายุคสมัยของชาวมายัญน่าจะมี มากกว่า ศตวรรษ หรือ สหัสวรรษ ซึ่งการศึกษาจากหลักฐานซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ ชาวมายันทั่วไปนับถือคือ "โปโปล วู"(Popol Vuh) ที บันทึกตำนานการสร้างดลกของเทพเจ้าของชาว มายัน เอาไว้เกี่ยวกับอายุขัยของยุคแต่ละยุคว่า โลกนี้เคยเกิดขึ้น เป็นอยู่ แล้วแตกดับ ผ่านยุคสมัยต่างๆมาแล้วหลายยุคหลายสมัยและจะผลัดเปลี่ยนเช่นนี้ตลอดไป แต่สิ่งที่บันทึกบอกกล่าวไว้ไม่ได้มีเท่านี้ก็คือ การมีคำกล่าวเอาไว้ว่าก่อนจะครบรอบการผลัดเปลี่ยนยุคต่างๆนั้น จะมีสัญญาญของเหตุการณืต่างๆเกิดขึ้นเช่น การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุใหญ่ ไฟไหม้ใหญ่ น้ำท่วมใหญ่ แล้วในที่สุด"วันสิ้นยุค"ก็จะเกิดขึ้น ซึ่งในวันสิ้นยุคนั้นก็จะเกิดปรากฏการณ์ไฟลุกโชติช่วงขึ้นครั้งใหญ่ไปทุกหน แห่ง เพื่อกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดสิ้น เป็นการล้างยุคสมัยเก่าลง หลังจากนั้นยุคสมัยใหม่ก็จะเกิดขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นใหม่

ใน คัมภีร์ โปโปล วู กล่าวถึงตำนานการสร้างและทำลายโลกของเทพเจ้าที่กำหนดอายุขัยของยุคต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมานั้นพระเจ้าได้สร้างโลกขึ้นมา 3 ครั้งแล้ว แล้วยุคปัจจุบันก็คือยุคที่ 4 ซึ่งยุคที่ 4 นี้หากยึดตามปฏิทินสากลที่ใช้กันก็จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 สิงหาคม ปี 3114 ก่อนคริสกาล และจะไปสิ้นสุดเอาในวันที่ 23 ธันวาคม 2012 ก้จะถอว่าเป้นวันสิ้นสุดของยุคที่ 4 แล้วจะผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ยุคที่ 5 ซึ่งหมายความว่าวันที่ 23 ธันวาคม 2012 จะเป้นวัน "สิ้นโลก" ไปหรือ อย่างไร?

แต่ เดิมเรื่องการพยากรนี้ก็ยังไม่ได้รับความสนใจมากนักจนกระทั่งเมื่อดล กก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาจนกระทั่งใกล้ถึงวันที่กำหนดไว้ในปฏิทิน (23 ธันวาคม 2012 ) และ ปรากฏการ์ณ ธรรมชาติต่างๆที่ถี่และบ่อยขึ้น ประกอบกับการที่โลกประสบกับสภาวะโลกร้อน ที่เป้นอยู่ปัจจุบัน ก็ยิ่งทำให้หลายๆคนหันมาสนใจคำพยากรณ์นี้มากขึ้น ยิ่งตรงคำที่ว่า

"ก่อน จะครบรอบการผลัดเปลี่ยนยุคต่างๆนั้น จะมีสัญญาญของเหตุการณืต่างๆเกิดขึ้นเช่น การเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด พายุใหญ่ ไฟไหม้ใหญ่ น้ำท่วมใหญ่ แล้วในที่สุด"วันสิ้นยุค"ก็จะเกิดขึ้น " จึงทำให้ใครๆเริ่มนำความเชื่อของชาวมายัน มาคิดว่าหรือสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันจะเป็นไปตามคำทำนายของ ชาวมายัน แล้วถ้าเป็นจริง วันที 23 ธันวาคม 2012 อะไรจะเกิดขึ้น?

ซึ่ง จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาเหตุผลและปัจจัยที่นำมาสู่สิ่งบ่งบอก เหตุการณ์ต่างๆตามตวามเชื่อของชาวมายัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกำหนดปี 2012 ไว้ว่าเป้นวันสิ้นสุดของยุค หรือวันสิ้นดลกของยุคนี้ โดยนักวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ นักธรณีวิทยา นักดาราศาสตร์ กลุ่มที่ร่วมกันศึกษาเรื่องนี้พบว่า ในช่วงปี 2012 โลกจะเกิดปรากฏการณ์ การพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลก

(Magnetic Reversal) เกิด ขึ้นปรากฏการณ์นี้ก็คือการที่ขั้วแม่เหล็กโลกพลิกกลับจากขั้วฌหนือเป็น ขั้วใต้ ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกนี้แต่เดิมก็ไม่ได้อยู่ตายตัวมันจะพลิกกลับกันเช่นนี้ ตลอดเวลา มันก็มีช่วงเวลาการพลิกกลับของมันเอง โดยการพลิกกลับขั้วครั้งล่าสุดเกิดเมื่อประมาณ 3 หมื่นปีก่อนนี้เอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกว่าการกลับขั้วแม่เหล็กโลกในแต่ละครั้งนั้นจะส่ง ผลให้เกิความแปรปรวนขึ้นได้ ซึ่งจะตามมาด้วยการเกิดการผ่าเหล่าของสิ่งมีชีวิตบางสายพันธ์ บางสายพันธ์อาจสุญพันธ์ลงที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสนามแม่เหล็ก โลกจะเกิดการแปรปรวนระหว่างที่เกิดการสลับขั้วนี้สนามแม่เหล็กที่เคยเป้ นเกราะกำบังรังสีคอสมิค จากดวงอาทิตย์โดยตรง จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลานั้นทำให้ไม่สามารถสะท้อนรังสีคอสมิคหรือ เบี่ยงเบนทิศทางมันอย่างได้ผล รังสีนี้ก็จะตกสู่พื้นโลกโดยตรงซึ่งส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนผิว โลก และยังมีอีก 1 ข้อมูลว่าในช่วงปี 2012 นี้ยังมีปรากฏการณ์ที่จุดดับของดวงอาทิตย์ครบวงรอบ 11 ปีอีกด้วย ซึ่งถ้าทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกันพอดีในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็จะส่งผลอย่างมาก มายอย่างที่ไม่อาจะคิดได้

แต่เรื่องนี้ก็มีความคิดแยกเป็น 2 ทางทางนึงคือทางฝายรัฐซึ่ง NASA ได้ ออกมาแสดงความคิดปรามการตื่นตระหนกว่า ต่อให้แม่เหล็กโลกอ่อนแรงลงจนสุญเสียการป้องกันจากรังสีคอสมิค รังสีคอสมิคก็จะส่งผลร้ายแรงแค่ทำให้ รบกวนต่อการสื่อสารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆเท่านั้น แต่จากการคำนวนของกลุ่มนักวิทยาศสาตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ และทดลองสร้างแบบจำลองดว้ยคอมพิวเตอร์ ก็แย้งว่า ไม่เพียงแค่รบกวนการสื่อสารเท่านั้น สัตว์ต่างๆจะเกิดความสับสนขึ้นอย่างแน่นอน นกนานาชนิดจะสับสนทางประสาทสัมผัส จะเกิดการหลงทิศทางและหลงฤดูกาล ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆจะเปลี่ยนแปลง เนื่องจากจะเกิดสภาวะอากาศที่แปรปรวน ทำให้เชื้อโรคบางชนิดปรับตัวเอง สิ่งมีชีวิตต่างๆจะกลายพันธ์ หรือผ่าเหล่า โดยรังสีคอสมิคที่เข้าข้นในบางพื้นที่จะเกิดสภาวะของ"มะเร็ง" ก่อตัวขึ้นได้ง่าย

ย้อน ไปถึงความเชื่อของชาวมายัน ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ ของชาวมายัน ที่ยังคงมีชีวิตอยู่นั้น ต่างก็ยังถ่ายทอดตำนานสุ่ลูกหลาน แล้วท่ามกลางตำนานเหล่านั้นก็ยังแฝงคติการดำรงชีวิต อยุ่อย่างระวัง โดยไม่ไปทำลายธรรมชาติ ชาวมายันมีคำสอนลูกหลานถึงธรรมาชาติว่า "เมื่อพระเจ้าสร้างโลกขึ้นมานั้น พระองค์ได้มอบหมายหน้าที่ให้มนุษย์ผู้มีสติปัญญาเหนือสัตว์ทั้งปวงเป็นผู้ปก ป้องดูแลสรรพสัตว์และต้นไม้ต่างๆ ให้ดำรงไปตามชีวิตของมัน มนุษย์ก็คือวงจรธรรมชาติด้วย ซึ่งต้องดำเนินไปตามกฏของธรรมชาตื ต้องล่าเพื่อเป้นอาหาร และต้องปลูกเพื่อชดเชยในสิ่งที่ขาดหาย หากมนุษย์ไม่ทำหน้าที่ผู้ปกป้องให้สมบูรณ์ หรือทการละเมิดกฏของธรรมชาตินี้ วงจรธรรมชาติก็จะเปลี่ยนแปลงจนอาจถึงกาลวิบัติ บัดนั้นท้องฟ้าจะเปลี่ยนสี ดิน น้ำ มหาสมุทรจะลุกเป็นไฟ ทุกหนทุกแห่งจะลุกเป็นไฟสิ่งมีชีวิตจะอยู่ไม่ได้ และจะถึงกาลอวสานของโลกพร้อมกับทุกสรรพชีวิตบนโลก" จะเห็นว่าคำสอนของชาวมายัน เป็น ตรรกแบบวิทยาศาสตร์มาก ซึ่งที่เห็นจริงก็คือ ระบบชีวิต ต่างๆที่ดำเนินไปภายใต้กฏแห่งธรรมชาติ ซึ่งเปรียบเสมือนห่วงโซ่ที่เกี่ยวร้อยกันแยกกันไม่ออก หากข้อใดข้อหนึ่งขาดช่วง ก็จะทำให้ห่วงโซ่ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป ซึ่งจะส่งผลสู่ ข้อทุกๆข้อห่วงโซ่ที่ห่วงนั้นเกี่ยวร้อยอยู่ ซึ่งผลสุดท้ายก็จะต้องย้อนกลับสู่ตัวเองด้วยนั่นเอง ซึ่งที่เป้นเช่นนี้มันก้มาจากมนุษย์เอง ที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องวงจรธรรมชาติ ในฐานะที่มีภูมิปัญญาเหนือใครในปฐพี แต่กลับใช้ภูมิปัญญาในทางที่ผิด ทำการโกงธรรมชาติ จนธรรมชาติเกิดความระส่ำระส่าย หรือว่า วันแห่งการพิพากษาได้ใกล้เข้ามาแล้วจริง??

Decoding the Past: Doomsday 2012

http://www.youtube.com/watch?v=ash_5a_37-w